พระพาหิยทารุจิริยเถระ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อัจเจนติสูตร ว่า "กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละไปตามลำดับ บุคคลเมื่อเห็นมรณภัยแล้ว พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสู่สันติเถิด” https://www.boonnews.tv/n26808

1.1 พัน ผู้เข้าชม
พระพาหิยทารุจิริยเถระ

เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพื่อแสวงหาสิ่งที่ทำให้ใจเราบริสุทธิ์ที่สุด บริสุทธิ์จนกระทั่งพบกับตัวตนที่แท้จริงที่มั่นคงที่สุดไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพบว่า พระรัตนตรัยเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด และมีอยู่ในตัวของพวกเราทุกคน เป็นธรรมที่สงบ ละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง เราจะนึกคิดหรือคาดคะเนไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึง หากเมื่อใดที่เราสามารถปรับใจที่หยาบให้ละเอียดลุ่มลึกไปตามลำดับ จนกระทั่งเราเข้าไปถึงแหล่งของสติแหล่งของปัญญา เมื่อนั้นเราย่อมรู้เห็นธรรมะทั้งหลายไปตามความเป็นจริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน อัจเจนติสูตร ว่า....

“ กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละไปตามลำดับ บุคคลเมื่อเห็นมรณภัยแล้ว พึงละอามิสในโลกเสีย มุ่งสู่สันติเถิด”

วันคืนที่ล่วงไปๆ ได้นำเอาความเสื่อม และความชรามาให้กับทุกชีวิต ซึ่งทำให้เรี่ยวแรงค่อยๆ ถดถอยลงไป สังขารมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเสื่อม และในที่สุดก็สลายไปสู่ความตาย ชั้นแห่งวัยของชีวิตได้เสื่อมไปตามลำดับอย่างนี้ ท่านจึงสอนต่อไปอีกว่า ผู้ไม่ประมาทในชีวิตต้องมองให้เห็นโทษของมรณภัยคือ ความตายที่เข้ามาเยือนอยู่ทุกขณะจิต ว่าเป็นภัยใหญ่หลวงซึ่งจะหลีกหนีอย่างไรก็ไม่พ้นแน่นอน

เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาจึงละอามิสคือ เหยื่อล่อที่ทำให้ติดอยู่ในโลก ติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ทำให้เราเพลิดเพลินอยู่ในกามภพ หาหนทางหลุดพ้นจากภพสามไปไม่ได้ จึงทำให้เราประมาทหลงทางจากพระนิพพาน ดังนั้น เราจึงควรละอามิสในโลก แล้วมุ่งทำใจให้หยุดนิ่ง เพื่อเข้าไปสู่สันติสุขภายใน เข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแหล่งแห่งบรมสุขคือ พระนิพพาน ที่มีแต่สุขล้วนๆ ไม่มีทุกข์เจือปน ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นชีวิตอันอมตะ

ดังเช่น เรื่องของพระพาหิยทารุจิริยะ ท่านเป็นผู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการตรัสรู้เร็ว เพราะเหตุที่ท่านได้สั่งสมบุญมาอย่างดี และเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ประมาทในชีวิต เรื่องมีอยู่ว่า

ครั้งหนึ่ง เรือเดินสมุทรลำหนึ่งแล่นไปกลางมหาสมุทร ได้เผชิญกับพายุใหญ่จนอับปางลง คนจำนวนมากเสียชีวิตกลายเป็นอาหารของปลา และเต่า แต่มีบุรุษหนึ่งจับไม้กระดานไว้ได้ จึงพยายามว่ายเข้าฝั่ง และในที่สุดก็ถึงฝั่งซึ่งเป็นท่าเรือชื่อว่า สุปปารกะ

ขณะนั้นผ้านุ่งห่มของท่านหลุดไปหมด ท่านจึงเอาเปลือกไม้แห้งมาทำเป็นผ้านุ่ง แล้วถือกระเบื้องเที่ยวขออาหารที่ท่าเรือแห่งนั้น ผู้คนต่างให้ข้าวยาคู และอาหารมากมาย เพราะคิดว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อมีคนนำผ้ามาให้ท่านนุ่งท่านกลับไม่ยอมนุ่ง เพราะกลัวว่าเมื่อนุ่งผ้าแล้วลาภสักการะจะเสื่อมไป ดังนั้น ท่านจึงไม่รับผ้ายังคงนุ่งแต่เปลือกไม้ เมื่อผู้คนต่างยกย่องท่านว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านจึงหลงเข้าใจผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์จริงๆ

ต่อมามีพรหมองค์หนึ่ง ในพรหมโลกซึ่งเคยบำเพ็ญสมณธรรมร่วมกับท่านในชาติก่อน โดยได้พากันปีนขึ้นไปบนภูเขาแล้วผลักบันไดลงมา ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมชนิดเอาชีวิตเข้าแลกจนกระทั่งเสียชีวิต เพื่อนพรหมได้รู้ถึงความคิดของท่านว่า ท่านกำลังหลงผิดคิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ เที่ยวหลอกลวงชาวบ้านเพื่อแลกกับอาหารมาดำรงเลี้ยงชีพ โดยไม่รู้ว่าบาปอกุศลกำลังเกิดขึ้น จึงคิดที่จะช่วยเหลือเพื่อนให้มีสัมมาทิฏฐิ

มหาพรหมจึงได้ลงจากพรหมโลกมาบอกท่านว่า “พาหิยะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านยังไม่ได้บรรลุอะไรเลย ข้อปฏิบัติที่ท่านกำลังกระทำอยู่ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะบรรลุพระอรหันต์” พาหิยะได้ฟังมหาพรหมยืนพูดอยู่ในอากาศ รู้ตัวทันทีว่าตนได้หลงผิดทำกรรมหนักเสียแล้ว เพราะที่จริงตนก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่อย่างใด

เมื่อสำนึกได้เช่นนั้น จึงถามมหาพรหมว่า “ในโลกนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่ไหม” พรหมตอบว่า “มี” แล้วให้ท่านพาหิยะเดินทางไปยังนครสาวัตถี ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงประทับอยู่ที่นั่น และทรงแสดงธรรมโปรดสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ได้เป็นพระอรหันต์กันจำนวนมาก

พาหิยะฟังคำของมหาพรหมรู้สึกดีใจมาก เหมือนผู้ที่กำลังหลงทางอยู่ในป่ารกชัฏหาทางออกไม่ได้ แล้วมีผู้รู้หนทางมาช่วยชี้บอกทางออก ท่านจึงรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที

ขณะนั้นเอง พระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เมื่อท่านพาหิยะเดินทางมาถึงวัดพระเชตวัน ไม่พบพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงถามพระภิกษุว่า “ตอนนี้พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ไหน” พระภิกษุตอบว่า “พระองค์เสด็จเข้าไปในกรุงสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต” พระภิกษุถามท่านว่ามาจากไหน ครั้นรู้ว่ามาจากท่าสุปปารกะ พระภิกษุเกิดความเมตตาว่า ท่านเดินทางมาไกลจึงบอกให้พักผ่อนรออยู่ที่วัดก่อน จนกว่าพระบรมศาสดาจะเสด็จกลับจากบิณฑบาต

พาหิยะตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ว่าพระบรมศาสดาจะดับขันธปรินิพพานเมื่อใด และตัวของข้าพเจ้าเองจะตายเมื่อใดก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์เดินทางมาเป็นระยะทางไกลถึง ๑๒๐ โยชน์ โดยไม่ได้พักผ่อนเลย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเห็นพระบรมศาสดา หากได้เข้าเฝ้าและฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะพักเหนื่อย”

กล่าวจบท่านรีบลาพระภิกษุทั้งหลาย เข้าไปยังกรุงสาวัตถีทันที พบพระบรมศาสดากำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่ ครั้นได้เห็นพระพุทธสิริอันหาที่เปรียบมิได้จึงเกิดมหาปีติ ท่านน้อมตัวนั่งลงกราบถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์บนพื้นถนน แล้วจับที่ข้อพระบาททั้งสองของพระองค์ไว้แน่น พลางกราบทูลขอให้พระองค์เมตตาแสดงธรรมโปรดตนด้วย

พระบรมศาสดาทรงห้ามว่า “พาหิยะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาแสดงธรรม เรากำลังบิณฑบาตอยู่” พาหิยะกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่อาจรู้ได้ว่ามรณภัยจะเกิดขึ้นแก่พระองค์ หรือว่าข้าพระองค์เมื่อใด ขอพระองค์ได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด” แม้ครั้งที่ ๒ พระบรมศาสดาก็ตรัสห้ามอีก จนท่านอ้อนวอนเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมเพียงบทสั้นๆ ว่า “พาหิยะ เมื่อเธอเห็นรูปจงเพียงสักแต่ว่าเห็นเท่านั้น” พาหิยะฟังธรรมจบก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที และทูลขอบรรพชากับพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้นนั่นเอง

เนื่องจากท่านไม่เคยถวายบาตรหรือจีวรมาก่อน จึงไม่มีบาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ พระบรมศาสดาจึงให้ท่านไปหาบาตรและจีวร แต่ในขณะที่ท่านกำลังแสวงหาบาตรและจีวรนั้น ได้ถูกโคแม่ลูกอ่อนวิ่งเข้ามาขวิดเสียชีวิตทันที เมื่อปรินิพพานแล้ว พระพุทธองค์ได้รับสั่งให้ภิกษุจัดฌาปนกิจ และก่อพระสถูป เพื่อบรรจุพระธาตุไว้ให้มหาชนได้สักการบูชา และทรงยกย่องท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะในด้านผู้ตรัสรู้เร็ว

ดังนั้น จงอย่าประมาทในชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่าชีวิตจะสิ้นสุดลงเวลาใด และที่ใด เราจะต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริง ด้วยการหมั่นสั่งสมบุญบารมีอย่างสม่ำเสมอ ทั้งทำทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ และเจริญภาวนาให้ใจหยุดใจนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายใน และจะต้องเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันและกัน เหมือนมหาพรหมที่มาเป็นกัลยาณมิตรให้ท่านพาหิยะ จนกระทั่งท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น ให้ใช้เวลาทุกอนุวินาทีสร้างบารมีให้เต็มที่กันทุกคน

จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับพุทธสาวก-พุทธสาวิกา

หน้า ๑๑๗ - ๑๒๕

อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ

(ภาษาไทย) เล่มที่ ๔๔ หน้า ๑๒๔

แชร์